ทำไมต้องเลือกสี Marine Grade สำหรับงานทางทะเล?
งานทาสีทางทะเลนั้นแตกต่างจากงานทั่วไป เพราะต้องเผชิญความรุนแรงทั้งจากน้ำเค็ม แดดแรง ลมแรง และมลภาวะอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง สีสำหรับงานเรือและโครงสร้างชายฝั่งจึงต้องออกแบบพิเศษเพื่อให้ทนทานสูงสุด ลดโอกาสเกิดสนิม กัดกร่อน หรือปัญหาเพรียงและสิ่งมีชีวิตเกาะตามผิวโครงสร้าง
ประโยชน์ของการเลือกสี Marine Grade ที่ได้มาตรฐาน
- ทนทานต่อน้ำเค็มและรังสี UV
- ป้องกันสนิมและการกัดกร่อนของพื้นผิวโลหะหรือไม้
- ลดค่าใช้จ่ายด้านการบำรุงรักษาในระยะยาว
- ผิวฟิล์มแข็งแรง รับมือรอยขูดขีดได้ดี
- ช่วยป้องกันการเกาะตัวของเพรียงและสิ่งมีชีวิตใต้ท้องเรือ
ระบบชั้นสีที่จำเป็นสำหรับงานทางทะเล
การทาสีสำหรับงานเรือและโครงสร้างชายฝั่งมักต้องทาอย่างมีระบบ เพราะแต่ละชั้นมีหน้าที่เฉพาะ ให้ประสิทธิภาพการปกป้องสูงสุด ดังนี้:
1. ชั้นรองพื้น (Primer)
- หน้าที่ : เพิ่มการยึดเกาะของสีชั้นต่อไปและปกป้องผิววัสดุ (โลหะ/ไม้) จากสนิมหรือน้ำทะเล
- ชนิดสีแนะนำ :
- สีรองพื้นอีพ็อกซี่ (Epoxy Primer)
- สีโคลทาร์อีพ็อกซี่ (Coal Tar Epoxy Primer) เน้นงานใต้น้ำ/ใต้แนวผิวน้ำหรือจุดสัมผัสน้ำเค็มสูงสุด
- ข้อแนะนำ : ทาชั้นรองพื้นตามสเปกปริมาณแนะนำ เพื่อให้ฟิล์มหนาและแน่น ลดความเสี่ยงสนิม/น้ำทะเลซึม
- หน้าที่ : เสริมความหนา ป้องกันรอยถลอกและเคมี
- ชนิดสีแนะนำ : อีพ็อกซี่ฟิล์มหนา เหมาะกับงานฝังดิน ใต้น้ำ หรือใจกลางโครงสร้าง
- ข้อดี : เพิ่มอายุการใช้งานและทนทานต่อการกัดกร่อนสูง
3. ชั้นทับหน้า (Topcoat)
- หน้าที่ : เสริมความสวยงาม เพิ่มการทนแดด รังสี UV รอยขีดข่วนและน้ำเค็ม
- ชนิดสีแนะนำ :
- สีโพลียูรีเทรน 2 ส่วน (Acrylic Polyurethane) – เหมาะกับด้านบนเรือหรือโครงสร้างที่โดนแดดตรงๆ
- สีกันเพรียง (Antifouling Paints) – สำหรับใต้น้ำหรือใต้แนวผิวน้ำ ป้องกันการเกาะของเพรียงและสิ่งมีชีวิตทะเล
ความหนาฟิล์มสี (DFT - Dry Film Thickness) สำคัญอย่างไร?
การทาสีให้มีความหนาที่เหมาะสมของแต่ละชั้น คือหัวใจของความทนทานและอายุการใช้งาน ในงานทางทะเล มาตรฐานโดยทั่วไปแนะนำ:
- Primer (ชั้นรองพื้น): 40-60 ไมครอนต่อชั้น
- Intermediate: 80-120 ไมครอนต่อชั้น (ขึ้นกับประเภทงานและสี)
- Topcoat: 30-50 ไมครอนต่อชั้น (ตามคำแนะนำผู้ผลิต)
ถ้าความหนาฟิล์มไม่ถึงมาตรฐาน ย่อมเสี่ยงต่อการลอก หลุดและกัดกร่อนเร็ว ต้องบำรุงรักษาบ่อย
เลือกสีแต่ละประเภทให้เหมาะกับพื้นที่ใช้งาน
พื้นที่ที่ต้องสัมผัสแดดและลม (เหนือแนวน้ำ)
- แนะนำ สีโพลียูริเทรน Marine Grade เนื่องจาก
- ทนแดดจัดและรังสี UV สูงมาก
- ฟิล์มเงางาม, สีสด ไม่ซีดจางง่าย
- ทนน้ำเค็มและฝนทะเลได้ต่อเนื่อง
พื้นที่ใต้แนวน้ำ/จุ่มน้ำทะเล
- แนะนำ สีโคลทาร์อีพ็อกซี่ หรือ สีกันเพรียง เพื่อ
- ป้องกันการเกาะของเพรียง หอย, และสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ เช่น Antifouling Epoxy
- ทนต่อสภาพน้ำเค็ม ความเป็นกรด/ด่างสูง
โครงสร้างชายฝั่ง/พื้นซีเมนต์
- ใช้ สีอีพ็อกซี่ทาเรือ หรือ Epoxy Marine Grade สำหรับความทนทานสูงและฟิล์มแข็ง
ข้อควรระวังและเทคนิคยืดอายุการใช้งาน
- ต้องปฏิบัติตามระบบชั้นสี (รองพื้น-กลาง-ทับหน้า) อย่างครบถ้วน
- ตรวจสอบสภาพพื้นผิวให้สะอาด แห้ง ปราศจากฝุ่นสนิมก่อนทาสี
- อย่าลดจำนวนชั้นหรือความหนาต่ำกว่าที่ระบุบนฉลากผลิตภัณฑ์
- เลือกเฉพาะสีที่ได้รับรองมาตรฐานทางทะเล (Marine Certified)
สรุป: เคล็ดลับเลือกสีสำหรับงานทะเลให้ทนทานและคุ้มค่า
- เลือกสีแต่ละประเภทให้ตรงกับลักษณะใช้งานและบริเวณ
- ปฏิบัติตามระบบชั้นสีอย่างมีวินัย และคุมความหนาฟิล์ม
- เน้นใช้สีสูตร Marine Grade หรือเฉพาะทางที่ได้รับมาตรฐานสากล
- สีที่ดีและระบบที่ครบถ้วน จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว ใช้งานได้ยาวนาน ปลอดภัย
ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือผลิตภัณฑ์สีงานทางทะเลคุณภาพสูง ติดต่อเรา หรือสอบถามผู้เชี่ยวชาญสีเพื่อคำปรึกษาเฉพาะทาง