ทำไม Checklist ก่อนทาสีบนเรือจึงสำคัญ
การทาสีบนเรือหรือ Offshore structure ไม่ใช่แค่การป้องกันสนิม แต่คือการคุ้มครองทรัพย์สินมูลค่าสูง ท่ามกลางสภาพแวดล้อมรุนแรง สีที่ติดทนนาน ทนเคมี น้ำเค็ม และไม่หลุดลอก คือหัวใจสำคัญที่ผู้รับเหมาทางเรือ (Marine contractor) และผู้ควบคุมงาน (Inspector) ต้องให้ความสำคัญตั้งแต่ขั้นตอนแรก มาดู Checklist ที่ควรทำครบก่อนเริ่มทาสี เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคตและผ่าน Audit ได้แบบไร้กังวล
1. ตรวจสอบและเตรียมผิวตามมาตรฐาน SA2.5 / ISO 8501
- ขจัดสนิม ขี้ตะกรัน คราบไขมัน สิ่งแปลกปลอม จนเหลือเพียงร่องรอยเงาบางจุดตามนิยาม SA2.5 ตาม ISO 8501-1
- ความสะอาดพื้นผิวสม่ำเสมอ ไม่มีจุดเปียกหรือสะสมสิ่งสกปรกแฝง
- ตรวจวัด surface profile (ความหยาบผิว) ให้อยู่ที่ 50–75 ไมครอน (µm) เพื่อเพิ่มการยึดเกาะของสี Epoxy หรือ Polyurethane
- ใช้เครื่องมือวัด (Replica Tape หรือ Surface Comparator ตาม ISO 8503)
Tip: การเตรียมผิวดีตั้งแต่ต้น หมายถึงอายุการใช้งานของระบบสีที่ยาวนานขึ้น และลดความเสี่ยงการลอกเสียหายกลางทะเล
2. ตรวจจุดสำคัญก่อนเริ่มงานทาสี
2.1 เช็คบริเวณรอยเชื่อม
- ลบคม (edge preparation) ตาม [ISO 8501-3 Grade P2]
- ขัดแต่งรอยเชื่อมให้เรียบ ป้องกันฟองอากาศหรือสีลอกย้อนจากรอยเชื่อม
2.2 ความสะอาดและความชื้นของผิว
- ห้ามเหลือน้ำมัน ไขมัน ฝุ่น หรือความชื้นบนผิวทั้งหมด
- ตรวจวัดค่าความเค็ม (soluble salt) ด้วยวิธี ISO 8502-9 ค่าต้องไม่เกินมาตรฐานเพื่อลดปัญหา blistering หรือสนิมทะเล
2.3 ตรวจสอบอุณหภูมิและสภาพแวดล้อม
- อุณหภูมิผิวเหล็กต้องสูงกว่าจุดน้ำค้างอย่างน้อย 3°C
- คุมความชื้นสัมพัทธ์ให้อยู่ในค่าที่ผู้ผลิตสีแนะนำ
3. เลือกใช้ระบบสีเกรด Marine/Offshore
แนะนำระบบสีที่ควรเลือกใช้เพื่อความทนทานสูงสุด:
- Epoxy Primer เกรดเรือ:
- ยึดเกาะผิวได้ดี ทนต่อสารเคมี น้ำเค็ม และความชื้นสูง
- Zinc Rich Primer:
- ป้องกันสนิมด้วยกลไกการเสียสละ (Sacrificial Protection) เหมาะกับงานเหล็ก exposed marine และ Offshore structure
- Polyurethane (PU):
- คงทนต่อแรงเสียดทานและรังสี UV สูง เหมาะกับชั้น Topcoat พื้นผิว above water
- Antifouling Paint:
- ป้องกันการเกาะตัวของเพรียง สาหร่าย ใต้ท้องเรือ ลดโอกาสสีลอกก่อนกำหนด
ตัวอย่างระบบสี
- ชั้นที่ 1: Zinc Rich Primer (หนา 50 µm)
- ชั้นที่ 2: Epoxy Primer (หนา 150 µm)
- ชั้นที่ 3: Polyurethane Topcoat (หนา 50 µm)
- ชั้นที่ 4: Antifouling (เฉพาะส่วนใต้น้ำ)
ระบบสีเหล่านี้ได้รับรองมาตรฐาน IMO, ISO, และ Class ต่างๆ
4. บันทึกการทำงาน สำหรับ Audit/Inspection
- เก็บข้อมูลทุกขั้นตอน เช่น
- ค่าการเตรียมผิว (SA2.5, มาตรฐาน ISO 8501)
- ผลวัดความหยาบ, ความสะอาด และค่าความเค็มของผิว
- ความหนาฟิล์มเปียก/แห้ง (Wet/Dry Film Thickness) ตาม ISO 2808, ISO 19840
- รายงานสภาพแวดล้อมขณะทาสี (อุณหภูมิ, ความชื้น, จุดน้ำค้าง)
- มีเอกสารการรับรอง เช่น ผลิตภัณฑ์ ISO, ใบรับประกัน, บันทึกผลตรวจสอบคุณภาพ
Checklist Audit ก่อนทาสี:
- [ ] เตรียมผิวถึง SA2.5
- [ ] มีรายงานค่าความหยาบผิว (50-75 µm)
- [ ] เก็บและบันทึกค่าความเค็ม/ความสะอาด
- [ ] ใช้ระบบสีที่ได้รับการรับรองสำหรับ Marine use
- [ ] บันทึกค่าความหนาฟิล์มทุกชั้น
- [ ] แนบเอกสาร Audit และใบรับประกันสินค้า
5. เคล็ดลับเสริม คุณภาพงานสี Marine/Offshore
- ฝึกอบรมช่างเตรียมผิวและทาสีตามมาตรฐานอุตสาหกรรม
- เลือกสีและระบบเคลือบที่เหมาะสมกับแต่ละบริเวณ (above/below waterline)
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือบริษัทที่มีประสบการณ์ด้านสีเรือโดยตรง
สรุป
การตรวจ Checklist ก่อนลงมือทาสีบนเรือ คือหัวใจหลักของความคุ้มค่าและปลอดภัยในระยะยาว เลือกใช้ระบบสีที่ทนแรงเคมี-น้ำเค็ม พร้อมบันทึก Audit ทุกครั้ง จะช่วยให้สีติดทน ไม่ลอก ไม่พังกลางทะเล และสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าอย่างแท้จริง